บทที่ 6
ในที่สุดงานเลี้ยงที่น่าเบื่อก็สิ้นสุดลง แต่วรรณกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงเลย
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลวงศ์วิวัฒน์ที่ผ่านมา หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อจัดงานสังสรรค์เล็กๆ ในครอบครัว
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ณ คฤหาสน์ตระกูลวงศ์วิวัฒน์ แสงจากโคมไฟระย้าคริสตัลสาดส่องลงบนโต๊ะยาว คนรับใช้เพิ่งวางมูสเค้กชิ้นสุดท้ายที่ตัดแบ่งไว้ลง คุณหญิงวงศ์วิวัฒน์ก็ใช้ส้อมเงินจิ้มขึ้นมาชิ้นเล็กๆ อย่างแผ่วเบา นำมาแตะที่ริมฝีปากชิมเล็กน้อย แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่วรรณ
“วรรณ”
เสียงส้อมเงินกระทบกับจานกระเบื้องดังกริ๊งใส ขณะที่นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยจอมปลอม: “วันนี้แม่เห็นสีหน้าลูกดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
นิ้วมือของวรรณที่กำลังจับแก้วน้ำอยู่เกร็งแน่นขึ้นเล็กน้อย
เธอรู้ดีว่าคุณหญิงวงศ์วิวัฒน์ไม่ได้เป็นห่วงเธอจากใจจริง และตัวเธอเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องป่าวประกาศเรื่องที่ตัวเองเป็นมะเร็งให้ทุกคนได้รับรู้
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่รู้สึกเหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง”
เธอตอบกลับเสียงเบา สายตาทอดมองไปยังลายลูกไม้ที่ปักอย่างประณีตบนผ้าปูโต๊ะ เป็นการหลบสายตาของอีกฝ่ายไปในตัว
“ถึงจะเหนื่อยก็ไม่ควรเสียกิริยานะ”
คุณหญิงวงศ์วิวัฒน์หัวเราะในลำคอเบาๆ พลางลากเสียงท้ายประโยคยาวๆ คล้ายจะเป็นการเตือนสติ แต่ก็แฝงไปด้วยการตำหนิ
“ลูกเป็นภรรยาของอาทิตย์ เป็นคุณนายของตระกูลวงศ์วิวัฒน์ มีสายตากี่คู่ที่จับจ้องมองอยู่ก็รู้ๆ กันอยู่”
“ในงานเลี้ยง คุณพิมพ์ก็แค่พูดอะไรเกินเลยไปนิดหน่อย ลูกก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง ทำตัวใจแคบไม่มีราศี ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนอื่นจะคิดว่าตระกูลวงศ์วิวัฒน์ของเราปฏิบัติกับลูกไม่ดี ทำให้ลูกต้องเจ็บช้ำน้ำใจอะไรนักหนา”
ขณะที่พูด หางตาของนางก็เหลือบไปมองอาทิตย์ที่นั่งอยู่ข้างคุณปู่วงศ์วิวัฒน์แวบหนึ่ง
ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าเลื่อนดูโทรศัพท์มือถือ ในแววตามีประกายแห่งความอ่อนโยนปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เขากลับไม่สนใจบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวไม่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
“พวกแกสองคนเป็นสามีภรรยากัน เรื่องที่ว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว สุขด้วยกันทุกข์ด้วยกัน แม่คงไม่ต้องพูดมากหรอกนะ?”
น้ำเสียงของคุณหญิงวงศ์วิวัฒน์ดังขึ้นเล็กน้อยอย่างจงใจ เพื่อให้อาทิตย์ได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้น
“ต่อให้เพื่อวนิดากับวีรภัทร ก็ควรรักษาหน้าตากันไว้ให้ดีๆ อย่าให้คนนอกเขาหัวเราะเยาะเอาได้”
วรรณกำช้อนของหวานในมือแน่น ด้ามช้อนกดเข้ากับฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บแปลบ
เธอเงยหน้าขึ้นและสบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดันของคุณหญิงวงศ์วิวัฒน์พอดี
“คุณแม่พูดถูกค่ะ”
พี่สะใภ้ใหญ่รีบพูดเสริมขึ้นมาทันที เธอใช้ทิชชู่เปียกเช็ดมือพลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ไม่อนุญาตให้ใครโต้แย้ง
“คนเป็นพ่อเป็นแม่ การกระทำทุกอย่างล้วนเป็นแบบอย่างให้ลูกๆ ทั้งนั้น วันนี้ในงานเลี้ยง ฉันเห็นวนิดากับวีรภัทรดูจะสนิทสนมกับคุณพิมพ์เป็นพิเศษเลยนะ”
เมื่อได้ยินชื่อของพิมพ์ประภา อาทิตย์ถึงกับละสายตาจากโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก
หัวใจของวรรณราวกับถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง เธอหันไปมองลูกทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็ก
วนิดากำลังเล่นมีดเงินบนโต๊ะ ส่วนวีรภัทรกำลังกัดสตรอว์เบอร์รี ใบหน้าเล็กๆ ของทั้งคู่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
“วนิดาจ๊ะ”
พี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นเสียงหวาน ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนี้ป้าเห็นหนูเอาแต่ตามติดป้าพิมพ์แจเลยนะ ไม่กลัวป้าพิมพ์เขารำคาญเอาเหรอ”
ดวงตาของวนิดาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ป้าพิมพ์ไม่รำคาญหรอกค่ะ ป้าพิมพ์ใจดีจะตาย ท่านยังบอกว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวสวนสนุกครั้งหน้าด้วยนะคะ!”
“แล้วระหว่างคุณแม่กับป้าพิมพ์ หนูชอบใครมากกว่ากันจ๊ะ” น้ำเสียงของปวีณ์หวานราวน้ำผึ้งแต่แฝงไปด้วยยาพิษ
ลมหายใจของวรรณพลันสะดุด เธออยากจะห้าม แต่เด็กน้อยไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น
วีรภัทรชิงตอบก่อน “ป้าพิมพ์เล่านิทานให้พวกเราฟัง พาพวกเราไปเที่ยวเล่น แต่คุณแม่เอาแต่ให้พวกเราเรียนหนังสือ...”
คำพูดนั้นเปรียบเสมือนมีดทื่อๆ ที่ค่อยๆ กรีดลงบนบาดแผลของวรรณที่เริ่มจะตกสะเก็ดแล้ว
ในแต่ละวันเธอต้องจัดการงานบ้านไม่รู้จบ เพื่อให้ลูกทั้งสองคนเติบโตมาอย่างดีที่สุด เธอยังถึงขนาดลงมือทำหนังสือนิทานภาพด้วยตัวเอง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเป็นทั้งคุณนายวงศ์วิวัฒน์และแม่ที่ดี แต่ในสายตาของลูกๆ เธอกลับกลายเป็นคนแบบนั้นไปเสียได้
ในขณะที่พิมพ์ประภาเพียงแค่มีของเล่นแปลกใหม่และคำพูดหวานหู ก็สามารถเอาชนะใจเด็กๆ ไปได้อย่างง่ายดาย
“เห็นไหมล่ะ”
ปวีณ์มองไปทางวรรณอย่างผู้ชนะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจจนแทบจะล้นออกมา
“เด็กไม่โกหกหรอกนะ วรรณเอ๊ย เธอบอกว่าทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก แต่กลับสู้ผู้หญิงเก่งที่มีหน้าที่การงานดีๆ อย่างพิมพ์ประภาไม่ได้เลย แล้วไอ้ที่ว่าทุ่มเทน่ะ มันไปทุ่มเทให้ใครกันแน่”
เดิมทีพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ชอบวรรณที่ไม่มีอาชีพการงานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว พอเจอช่องให้โจมตีได้แบบนี้ มีหรือจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป ต้องขอซ้ำเติมสักหน่อย
คุณหญิงวงศ์วิวัฒน์ช่วยเสริมขึ้นมาอีกแรง: “ถ้าครอบครัวปรองดองกัน ทุกอย่างก็จะรุ่งเรือง ถ้าเธอทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่อาทิตย์จะรำคาญใจ แต่ลูกๆ ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงตอนนั้นคนนอกก็จะได้หัวเราะเยาะตระกูลวงศ์วิวัฒน์ของเราอีก”
“หนูไม่ได้กำลังอารมณ์เสียนะคะ”
วรรณเงยหน้าขึ้นในที่สุด เสียงของเธอไม่ดังแต่แฝงไปด้วยความดื้อรั้น “หนูแค่...”
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก”
อาทิตย์ที่เงียบมานาน ในที่สุดก็เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเอ่ยปากขึ้น “วันนี้เป็นงานเลี้ยงของครอบครัว อย่าเอาเรื่องน่ารำคาญพวกนี้มารบกวนความสุขของคุณปู่เลยจะดีกว่า”
วรรณหุบปากสนิท ไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงแค่มองอาทิตย์ที่มีสีหน้าเย็นชา
เธอรู้ดีว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ในสายตาของคนเหล่านี้ คำอธิบายใดๆ ของเธอก็เป็นเพียงการแสดงออกของความดื้อรั้นไม่รู้จักความ
ในที่สุดก็ทนจนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา วรรณแทบจะวิ่งหนีออกจากห้องอาหาร
เธอเดินลงมาตามบันไดวนจนถึงประตูทางเข้า ในจังหวะที่นิ้วกำลังจะสัมผัสกับประตู สายตาของเธอก็เหลือบมองไปยังห้องหนังสือบนชั้นสอง
เรื่องหย่าจะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว แทนที่จะรอให้คนอื่นค่อยๆ จับได้ สู้รีบไปสารภาพกับคุณปู่ตรงๆ เลยดีกว่า
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป
คุณปู่วงศ์วิวัฒน์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าแขนตัวใหญ่ ในมือถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง แต่ไม่ได้พลิกอ่าน
“อ้าว หนูวรรณมาแล้วรึ มานั่งสิ”
วรรณเห็นแววตาที่ขุ่นมัวของคุณปู่วงศ์วิวัฒน์ฉายแววความเหนื่อยล้าออกมาวูบหนึ่งซึ่งยากจะสังเกตเห็น
“คุณปู่คะ”
วรรณเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงาน นิ้วมือบิดเข้าหากันด้วยความประหม่า เธอยังไม่ทันได้เรียบเรียงคำพูด ก็ได้ยินคุณปู่เอ่ยขึ้นช้าๆ
“เรื่องในงานเลี้ยงวันนี้ ทำให้หนูลำบากใจแล้วนะ”
น้ำเสียงของท่านแหบพร่าเล็กน้อยและเนิบนาบตามประสาคนชรา
“ข้างนอกมีสายตากี่คู่ที่จับจ้องตระกูลวงศ์วิวัฒน์อยู่ แค่มีลมพัดหญ้าไหวเพียงนิด พวกเขาก็พร้อมจะขยายความให้กลายเป็นพายุได้”
หัวใจของวรรณหล่นวูบ เธอคาดเดาได้ว่ากำลังจะได้ยินอะไรต่อไป
“ช่วงนี้อาทิตย์เขากำลังกดดันมาก ที่บริษัทก็ไม่ค่อยสงบสุขเท่าไหร่ ร่างกายของปู่เองก็...” คุณปู่วงศ์วิวัฒน์จิบชาอย่างเชื่องช้า “พวกหมาป่าข้างนอกก็กำลังรอหัวเราะเยาะตระกูลวงศ์วิวัฒน์ของเราอยู่ ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ พวกเจ้าสองคนสามีภรรยาก็ยิ่งต้องหนักแน่นเข้าไว้ ถ้าพวกเจ้าหนักแน่น ตระกูลวงศ์วิวัฒน์ถึงจะมั่นคง บริษัทถึงจะไปรอด”
วรรณอ้าปาก แต่คำว่า “หย่า” ที่เธอครุ่นคิดอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วนกลับจุกอยู่ในลำคอ พูดออกมาไม่ได้
“ปู่รู้ว่าในใจหนูคงอัดอั้นตันใจมาก ไม่พอใจที่ตอนนั้นอาทิตย์ไม่ยอมช่วยหนู” สายตาของคุณปู่จับจ้องมาที่เธอ “แต่เพื่อตระกูลวงศ์วิวัฒน์ เพื่ออาทิตย์ และเพื่อเด็กทั้งสองคน ต่อให้ต้องเสแสร้ง ก็ต้องแกล้งทำเป็นว่ารักกันดี รอให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
คำว่า “จะดีขึ้น” ทั้งสามคำทุบลงกลางใจของวรรณราวกับค้อนปอนด์
ตลอดเจ็ดปีนับตั้งแต่แต่งงานมา อุปสรรคของเธอมันมีมาไม่เคยหยุดหย่อน ราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
ความสุขของเธอ ความรู้สึกของเธอ เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ของตระกูลวงศ์วิวัฒน์แล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถเสียสละได้เสมอ
เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หันหลังและเดินออกจากห้องหนังสือไป
ในวินาทีที่ประตูปิดลง เธอได้ยินเสียงไอที่ถูกกดไว้ของคุณปู่ดังมาจากด้านหลัง
แสงไฟบนโถงทางเดินสลัว ทอดเงาของเธอให้ยาวเหยียด
ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา เธอหยิบมันออกมาดู บนหน้าจอปรากฏข้อความแจ้งเตือนจากโรงพยาบาล:【คุณวรรณ ถึงกำหนดนัดตรวจซ้ำของท่านแล้ว กรุณามาที่โรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจโดยเร็วที่สุดค่ะ】
